พระเมรุมาศ และพระเมรุ คือ สถาปัตยกรรมชั่วคราว หรือสถาปัตยกรรมเฉพาะกิจที่สร้างขึ้น ณ กลางใจเมือง เพื่อใช้ในพระราชพิธีพระบรมศพหรือพระราชพิธีพระศพโดยเฉพาะ 1 มีลักษณะเป็น กุฎาคาร หรือ เรือนยอด คือเรือนซึ่งหลังคาต่อเป็นยอดแหลม 2 โดยในอดีตนิยมสร้างเป็นแบบ ยอดปรางค์ อาจมีพรหมพักตร์หรือไม่มีก็ได้
อ่าน 1372 : ตอบ 71
พระเมรุมาศ เป็นพระเมรุขนาดสูงใหญ่ ใช้ในพระราชพิธีพระบรมศพ พระมหากษัตริย์ พระอัครมเหสี พระบรมราชินี พระราชชนนี พระบวรราชเจ้า พระยุพราช สำหรับการตายที่ใช้ราชาศัพท์ว่าสวรรคต ภายในพระเมรุมาศมี พระเมรุทอง ลักษณะของพระเมรุมาศที่ปรากฏการสร้างมี 2 รูปแบบคือพระเมรุมาศทรงปราสาท ที่สร้างมาแต่โบราณ มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร และพระเมรุมาศทรงบุษบก ส่วนพระเมรุ เช่นเดียวกับพระเมรุมาศ แต่มีขนาดเล็กลง และไม่มีพระเมรุทองภายใน ใช้สำหรับราชวงศ์ที่ทรงฐานานุศักดิ์ใช้ราชาศัพท์ว่า ทิวงคต หรือ สิ้นพระชนม์
วันที่มาเก็บภาพหลังฝนตก แสงลักษระนุ่ม Soft light เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคล
มากกว่าสถาปัตยกรรม เพราะไม่มีแสงเงาที่เด่นชัดมากนัก
เลนส์ที่เลือกเป็นเลนส์มุนกว้างตัว canon 16-35mm F2.8 กับ
กับเลนส์เทเล ใช้ compressภาพระยะไกล canon 70-200 F2.8
3
การออกแบบสถาปัตยกรรมพระเมรุมาศ พระเมรุ ต้องอาศัยการสร้างสรรค์ออกแบบจากผู้รอบรู้เจนจบงานศิลปกรรมของชาติ ช่างที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้จากครูบาอาจารย์ทั้งงานออกแบบรูปลักษณ์ ก่อสร้างอาคาร การคิดลวดลายขึ้นประดิษฐ์ตกแต่งทุกส่วนให้เข้ากับอาคาร โดยมีหลักเกณฑ์ที่คำนึงถึงว่าพระเมรุมาศของพระองค์ใด ที่แสดงลักษณะของพระองค์นั้น
ตามความหมายใน พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง ภูเขากลางจักรวาล มียอดเป็นที่ตั้งแห่งเมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระอินทร์ ซึ่งมีอีกความหมายคือ เป็นที่เผาศพมีหลังคาเป็นยอด มีรั้วล้อมรอบ สำหรับพระมหากษัตริย์ เรียกว่า พระเมรุมาศ สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์เรียกว่า พระเมรุ และสำหรับสามัญชนเรียกว่า เมรุ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงวินิจฉัยในสาส์นสมเด็จ 3 มี.ค. 2476 ไว้ว่า เมรุ เห็นจะได้ชื่อ (จากการ) ปลูกปราสาทอันสูงใหญ่ท่ามกลางปลูกปราสาทน้อยขึ้นตามมุมทุกทิศ มีโขลนทวาร (โคปุระ) ชักระเบียงเชื่อมถึงกัน ปัก ราชวัติล้อมเป็นชั้นๆ มีลักษณะดุจเขาพระสุเมรุ ตั้งอยู่ท่ามกลางมีสัตบริภัณฑ์ล้อม จึงเรียกว่า พระเมรุ ทีหลังทำย่อลง ไม่มีอะไรล้อม เหลือแต่ยอดแหลมๆ ก็คงเรียกว่า เมรุ
จากหนังสือ พระเมรุมาศ พระเมรุ และเมรุสมัยรัตนโกสินทร์ ของ ศ.น.อ.สมภพ ภิรมย์ อธิบายไว้ว่า ในความเชื่อแบบพราหมณ์ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ ซึ่งสถิตบนเขาพระสุเมรุ อันล้อมรอบด้วยเขาสัตบริภัณฑ์ และเมื่อจุติลงมายังมนุษยโลกเป็นสมมติเทพ เมื่อสวรรคตจึงตั้งพระบรมศพบนพระเมรุมาศ หรือพระเมรุ เพื่อเป็นการส่งพระศพ พระวิญญาณกลับสู่เขาสุเมรุดังเดิม 3 นาวาอากาศเอกอาวุธ เงินชูกลิ่น อธิบายความเชื่อเรื่องเขาพระสุเมรุในวารสารอาสาไว้ว่า เขาพระสุเมรุซึ่งเป็นที่สถิตย์ของเทพยดาทั้งหลาย เมื่อเรามีคติความเชื่อว่า คนที่ตายแล้วจะกลับไปสู่สวรรค์ . ความเชื่อเรื่องเขาพระสุเมรุมีพูดถึงในไตรภูมิ เป็นเรื่องของภูมิจักรวาลซึ่งเป็นความเชื่อในพุทธศาสนามีลักษณะเป็นที่อยู่ของเทวดา ตีนเขาเป็นป่าหิมพานต์ 4 ทั้งนี้จากความคิดเรื่องนี้จึงได้จำลองพระเมรุมาศ พระเมรุ เป็นเสมือนเขาพระสุเมรุและสัตบริภัณฑ์เพื่อส่งเสด็จสู่ทิพยพิมาน โดยสถานที่ประกอบพิธีเดิมนั้นมักเรียกกันว่า ทุ่งพระเมรุ ซึ่งปัจจุบันคือ ท้องสนามหลวง 5
7
สมัยสุโขทัย แก้
จากหลักฐานที่ค้นพบเกี่ยวกับการพิธีพระบรมศพที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในคัมภีร์ไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง พระราชนิพนธ์ในพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไทย) แห่งกรุงสุโขทัย ที่ทรงประพันธ์ขึ้นราวปี พ.ศ. 1888 ได้พรรณนาเกี่ยวกับการจัดพระศพพระยามหาจักรพรรดิราช 7
9
สมัยอยุธยา
เมรุมาศทรงปราสาทยอดปรางค์ ภายในเป็นเมรุทองตั้งโกศศพทศกัณฐ์
ในสมัยอยุธยา พิธีพระบรมศพเป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ของบ้านเมือง มีแบบแผนถือปฏิบัติอย่างมีระเบียบ ความสำคัญของการจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงสร้างพระเมรุมาศนั้น เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศที่พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ถวายแด่พระมหากษัตริย์ที่สวรรคตล่วงแล้ว โดยพิจารณาพระเดชานุภาพในการสร้างพระเมรุมาศ
หลักฐานไม่ปรากฏชัดเจน ในสมัยอยุธยามีการบันทึกการสร้างพระเมรุมาศของสมเด็จพระนเรศวรในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถแห่งกรุงศรีอยุธยา ว่า แต่พระบรมศพสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง และสร้างเมรุมาศสูงเส้นสิบเจ็ดวา ประดับด้วยเมรุทิศ เมรุราย ราชวัติ ฉัตรนาคฉัตรเบญจรงค์เสร็จ ก็อัญเชิญพระบรมศพเสด็จเหนือกฤษฎาธาร ซึ่งมีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก และยังปรากฏหลักฐานพระเมรุมาศสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตามจดหมายเหตุและพระราชพงศาวดาร ว่ามีความสูงถึงสองเส้น และมีปริมณฑลกว้างใหญ่ไพศาลมาก กล่าวไว้ว่า พระเมรุมาศ .โดยขนาดใหญ่ ชื่อ 7 วา 2 ศอก โดยลง 2 เส้น 11 วา ศอกคืบ มียอด 5 ภายในพระเมรุทองนั้น ประกอบด้วยเครื่องสรรพโสภณวิจิตรต่างๆ สรรพด้วยพระเมรุทิศพระเมรุราย แลสามสร้าง ซึ่งมีความสูงกว่าพระเมรุมาศสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ถึง 5 วาเศษ 8 และว่ากันว่าพระเมรุมาศในสมัยอยุธยามีความยิ่งใหญ่มาก ยอดพระเมรุสูงทัดเทียมตึกเจ็ดชั้นสมัยปัจจุบัน
หลักฐานเกี่ยวกับพระเมรุในยุคแรก พบได้จากวัดไชยวัฒนาราม ที่เป็นต้นแบบพระเมรุมาศ สมัยพระเจ้าปราสาททอง พระปรางค์ ที่เชื่อว่าพระเจ้าปราสาททองโปรดให้ลอกแบบมาจากศูนย์กลางของปราสาทนครวัด เป็นต้นแบบที่มาของพระเมรุมาศ ที่มีเจดีย์ทำเป็นเมรุราย และเมรุทิศ รูปแบบการสร้างวัดรวมทั้งการสร้างพระระเบียงรอบนี้ เป็นแนวความคิดจากคติการสร้างเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลางของจักรวาล ที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะเขมร สร้างเลียนแบบจำลองเขาพระสุเมรุ ของนครวัด หรือ วิษณุโลก ที่เชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
อีกร่องรอยของงานพระเมรุ คือ ลานหน้าจักรวรรดิ (ทุ่งพระเมรุ) พระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ และพระราชวังโบราณของเมืองกรุงเก่า ที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างพระเมรุมาศที่ตำแหน่งทางใต้พระวิหารพระมงคลบพิตร และมีพระราชพิธีบริเวณสนามหน้าจักรวรรดิโดยอัญเชิญพระศพมาทางชลมารค มีขบวนแห่ไปตั้งพระศพไว้ที่พระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ และประดิษฐานพระบรมศพ ที่พระที่นั่งสุริยามรินทร์ เช่นเดียวกับพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และสันนิษฐานว่าลานหน้าพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ หรือสนามหน้าจักรวรรดิ เป็นถนนที่มีขบวนแห่พระบรมศพจะผ่านพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ผ่านสนามชัย และพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ ซึ่งเรียกว่า ทุ่งพระเมรุ
ในปลายกรุงศรีอยุธยา ยังมีจดหมายเหตุอีก 2 เรื่อง คือ งานพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระซึ่งพรรณนาเฉพาะตอนถวายพระเพลิงแห่พระบรมอัฐิและพระอังคาร และเรื่องงานพระเมรุมาศสมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี กรมหลวงโยธาเทพ ซึ่งในการจัดงานพระเมรุมาศส่วนใหญ่ของกรุงศรีอยุธยาจะมีลักษณะเป็นการปลูกสร้างพระเมรุขนาดใหญ่ มีพระเมรุทองซึ่งเป็นลักษณะแบบบุษบกอยู่ภายใน พระเมรุนิยมทำเป็น 5 ยอด ในเวลาอัญเชิญพระโกศพระบรมศพ จะอัญเชิญไปบนพระมหาพิชัยราชรถ ขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่ประกอบดนตรี อาจจะมีนางรำ นางร้องไห้ ระหว่างนั้นจะมีการทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ เมื่ออัญเชิญขึ้นพระเมรุแล้ว มีการสมโภชอีก 7 วัน ทั้งมหรสพ ดอกไม้เพลิง และนิมนต์พระสงฆ์สดับปกรณ์หนึ่งหมื่นรูป หลังครบ 7 วัน 7 คืน จึงมีการถวายพระเพลิง เก็บพระอัฐิธาตุลงพระบรมโกศ อัญเชิญไปไว้ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์
สมัยกรุงธนบุรี
ในสมัยกรุงธนบุรี ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้จัดงานพระเมรุ งานพระศพชั้นสูงมีเพียงแต่งานพระศพกรมพระเทพามาตย์ พระราชชนนี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งระบุไว้ว่ามีเพียงการจัดทำพระเมรุพระราชทานเพลิงและแห่พระอังคาร ซึ่งอาจเนื่องมาจากอยู่ในภาวะยามศึกสงคราม
16
17
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชกาลที่ 1 - 4
พระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ในยุคแรก บ้านเมืองยังคงอยู่ในภาวะศึกสงคราม จึงมิได้สร้างพระเมรุมาศสูงใหญ่เทียบเท่าพระเมรุมาศสมัยกรุงศรีอยุธยา 8 ระหว่างรัชกาลที่ 1 - 4 พระเมรุมาศเริ่มเป็นทรงปราสาท พระเมรุมาศองค์แรกที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์คือ พระเมรุมาศถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพื่อถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิถวายพระราชบิดาหลังจากบ้านเมืองสงบศึก โดยทรงอนุสรณ์คำนึงว่า พระราชบิดาสิ้นพระชนม์ในระหว่างภาวะสงครามโดยมิได้ประทับร่วมกัน และเพื่อสนองพระคุณ จึงมีพระราชดำริจะบำเพ็ญพระราชกุศลถวาย 6 และยังมีการจัดงานพระศพเจ้านายสำคัญหลายพระองค์คือ งานพระศพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท 12 ส่วนการพระราชพิธีในงาน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกยึดหลักอย่างประเพณีอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา เพื่อฟื้นฟูประเพณีให้กลับรุ่งเรืองสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ประชาชนและเป็นเกียรติยศแก่บ้านเมือง และยังมีการประดิษฐ์สิ่งใหม่ขึ้นคือ การประดิษฐ์เกรินบันไดนาค สำหรับเชิญพระโกศ คิดค้นโดยเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จะยึดหลักการสร้างแบบพระเมรุมาศตามตำราโบราณราชประเพณีครั้งกรุงเก่าทุกประการ คือ ทำเป็นพระเมรุอย่างใหญ่ มีตัวพระเมรุ 2 ชั้นต่างไปอยู่ภายในพระเมรุชั้นนอกที่ทำเป็นพระเมรุยอดปรางค์หรือยอดรูปดอกข้าวโพด ส่วนใหญ่เป็นไปตามแบบแผนมีต่างกันไปในรายละเอียดเรื่องการออกแบบตามฝีมือช่าง 14 สำหรับพระเมรุมาศพระบรมศพรัชกาลที่ 4 ถือได้ว่า เป็นพระเมรุมาศสุดท้ายที่ทำตามแบบโบราณราชประเพณี แต่พระเมรุใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมียอดเรือนเพียง 5 ยอด ต่างจากแบบเดิมที่มีเรือนยอด 9 ยอด จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์อันเป็นแบบแผนในฐานะความเป็นเอกแห่งศูนย์กลางจักรวาลที่ถ่ายทอดออกมาเป็นพระเมรุยอดปรางค์ 9 ยอด ตามแบบอยุธยาได้ยุติลง และกลายเป็นว่ารูปแบบ พระเมรุโท ที่เป็นปรางค์ 5 ยอดตามแบบแผนอยุธยา กลับทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ความเป็นพระเมรุเอก สำหรับกษัตริย์ในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
สมัยรัชกาลที่ 5 - 8
พระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ลักษณะของพระเมรุมาศเป็นเพียงพระเมรุชั้นเดียว ได้ถอดเอาพระเมรใหญ่ ซึ่งเป็นพระเมรุทรงปรางค์ที่คลุมอยู่ภายนอกออกไป คงไว้เพียงพระเมรุทอง ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า พระเมรุมาศ 16 และในสมัยนั้นประเทศไทยได้ติดต่อกับต่างประเทศ รับวัฒนธรรมจากภายนอก ทั้งชาวไทยปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมบางอย่างให้สอดคล้องตามสมัย การสร้างพระเมรุมาศทรงปราสาท ซึ่งเป็นงานใหญ่โต ทรงเห็นว่าการสร้างแบบเดิมเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินและเป็นที่เดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไป จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงให้มีขนาดเล็กลงและประหยัดขึ้น โดยมีพระราชดำรัสสั่งห้ามความว่า
แต่ก่อนมา ถ้าพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตลง ก็ต้องปลูกเมรุใหญ่ซึ่งคนไม่เคยเห็น แล้วจะนึกเดาไม่ถูกว่าใหญ่โตเพียงใด เปลืองทั้งแรงคน เปลืองทั้งพระราชทรัพย์ ถ้าจะทำในเวลานี้ก็ดูไม่สมควรกับการที่เปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ไม่เป็นเกียรติยืนยาวไปได้เท่าใด ไม่เป็นประโยชน์แก่คนทั้งปวง กลับเป็นความเดือดร้อน ถ้าเป็นการศพของผู้มีพระคุณ หรือผู้มีบรรดาศักดิ์อันควรจะได้เป็นเกียรติยศ ฉันก็ไม่อาจจะลดทอนด้วยเกรงว่าคนจะไม่เข้าใจว่า เพราะฉะนั้นประพฤติไม่ดีอย่างหนึ่งอย่างใด จึงไม่ทำการศพให้สมเกียรติยศซึ่งสมควรจะได้ เมื่อถึงตัวฉันเองแล้ว เห็นว่าไม่มีข้อขัดข้องอันใด เป็นข้อคำที่จะพูดได้ถนัด จึงขอให้ยกเลิกงานพระเมรุใหญ่นั้นเสีย ปลูกแต่ที่เผาพอควร ในท้องสนามหลวง แล้วแต่จะเห็นสมควรกันต่อไป .
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 สถานะของพระราชวงศ์ที่ตกต่ำลง รวมถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในระยะต่อมา ได้ส่งผลกระทบถึงการจัดงานพระบรมศพและพระศพของพระบรมวงศานุวงศ์ในพระราชวงศ์จักรีอย่างชัดเจน ดังปรากฏหลักฐานว่า พระศพสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ ได้รับการพระราชทานเพลิงพระศพที่วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2475 (ตรงกับ พ.ศ. 2476 ตามปฏิทินปัจจุบัน) 20 21 โดยสร้างพระเมรุตามแบบเมรุมาตรฐานของกระทรวงวัง (ภายหลังได้แปรสภาพส่วนราชการเป็นสำนักพระราชวัง) ทั้งที่ตามพระอิสริยยศของพระองค์นั้นควรได้รับการพระราชทานเพลิงพระศพ ณ ท้องสนามหลวง ตามโบราณราชประเพณี หรือพระเมรุของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ซึ่งใช้ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 แม้งานพระเมรุครั้งนี้จะได้จัดขึ้นที่ท้องสนามหลวงตามพระอิสริยยศ แต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งเป็นพระมารดา ต้องทรงออกค่าใช้จ่ายในงานพระศพเองทั้งหมดโดยที่รัฐบาลไม่ได้ออกเงินช่วยเหลือ และใช้พระเมรุแบบมาตรฐานของกระทรวงวังเช่นเดียวกับงานกรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ สำหรับพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์เสด็จสวรรคตในต่างประเทศ จึงมิได้มีการจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพตามโบราณราชประเพณี
สมัยรัชกาลที 9 - ปัจจุบัน
การสร้างพระเมรุมาศตามแบบโบราณราชประเพณีได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลสวรรคต แต่การจัดสร้างพระเมรุมาศเพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระองค์กินเวลายาวนานถึง 3 ปี จากอุปสรรคในการวางแผนกำหนดระยะเวลาการก่อสร้าง ด้วยเหตุว่ากำหนดการเสด็จนิวัติพระนครของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพต้องเลื่อนไปจากการที่ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ณ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ในปี พ.ศ. 2491 การก่อสร้างพระเมรุมาศได้สำเร็จลงในปี พ.ศ. 2493 และได้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพขึ้นในวันที่ 28 มีนาคม ของปีนั้น หลังจากการถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระเมรุมาศองค์นี้เป็นพระเมรุตามเสด็จ สำหรับงานพระราชทานเพลิงพระศพพระบรมวงศานุวงศ์อีก 4 พระองค์คือ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาพรรณพิไลย 22 โดยเปลี่ยนนพปฎลมหาเศวตฉัตรที่ยอดพระเมรุมาศเป็นพระเศวตฉัตร 5 ชั้น ตามพระอิสริยยศของพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ทรงได้รับพระราชทานเพลิงพระศพ ต่อมาเมื่อสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2498 ก็ได้มีการสร้างพระเมรุมาศ ณ ท้องสนามหลวงอีกครั้ง เพื่อใช้ในการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2499 พระเมรุมาศองค์นี้ได้สร้างขึ้นใหม่โดยใช้แบบพระเมรุมาศทรงบุษบกจากงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเป็นพื้นฐานในการออกแบบ หลังจากนั้นการสร้างพระเมรุมาศและพระเมรุที่ท้องสนามหลวงได้ว่างเว้นไปเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากพระบรมวงศานุวงศ์ที่สิ้นพระชนม์ในระยะต่อมาไม่ทรงมีพระอิสริยยศสูงถึงชั้นที่จะสร้างพระเมรุกลางเมือง และได้มีการพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ทั้งสิ้น
23
24
25
ในการเข้าชมพระเมรุมาศนั้น เมื่อเข้าสู่ประตูทางเข้าพื้นที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ด้านทิศเหนือ ซึ่งเป็นด้านหน้าของพระเมรุมาศ จะมีการแจกแผ่นพับนำชมนิทรรศกา
ซึ่งประกอบด้วย คันนารูปเลขเก้าไทยสีดิน-ทองและแปลงนาสาธิต ขนาด 1 ไร่ โดยกรมการข้าวนำต้นข้าว 3 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ปทุมธานี 1 พันธุ์ข้าวขาวดอกมะ
สถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นตามโบราณราชประเพณีในการถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตามคติความเชื่อ พระมหากษัตริย์ เป็นผู้ที่สั่งสมพระบารมีมาตั้งแต่อดีตชาติ เป็นเทวราช
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
เมื่อเข้าสู่พื้นที่พระเมรุมาศแล้ว จะเปิดให้ประชาชนชมอย่างอิสระ โดยกำหนดระยะเวลาไว้รอบละ 45 นาที แบ่งออกเป็น การขึ้นชม พระเมรุมาศ ซึ่งให้ขึ้นถึงชั้น 1
อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1108337
ภายในนิทรรศการ ประกอบด้วยภาพพระบรม ฉายาลักษณ์และภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ที่หาชมยาก รวมทั้งภาพอุปกรณ์ทรงงานในการดูแลทุกข์สุขของราษฎรตลอดรัชสมัย จดหมายเหตุ
ส่วน ศาลาลูกขุน ทั้ง 6 หลัง จัดแสดงนิทรรศการที่เรียงร้อยเรื่องราวการจัดสร้างพระเมรุมาศและสิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศในทุกๆส่วน สะท้อนแนวคิดและขั้นตอ
ตลอดระยะเวลาของการจัดนิทรรศการบริเวณพระเมรุมาศ จะมีการแสดงมหรสพและวงดนตรีบรรเลง เพื่อให้ผู้เข้าชมนิทรรศการได้ซึมซับบรรยากาศเสมือนวันถวายพระเพลิง
ในหลวงทรงรักการถ่ายภาพ
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
ขอบคุณ ทุกท่านที่ติดตามชมครับ
ชอบภาพขาวดำครับ
สวยงาม
ขอบคุณ คุณ mpk77
ขอบคุณ คุณ บ่าวเอส ที่แวะชมครับ
ดูเพลิน สวยงามครับ
ขอบคุณ คุณ pkanok168
ที่แวะชมครับ
ไม่มีโอกาสได้ไปชม ขอบคุณที่โพสต์ให้รับชมครับ จุใจเลย
สวยงามมากครับ
ขอบคุณ คุณ funny-haha
ขอบคุณ คุณ kitticha ที่แวะชมครับ
เอามาให้ชมจุใจเลยครับ สวยครับ
ขอบคุณ คุณ Sao Wutti
ไม่มีโอกาสได้เข้าไปชมพระเมรุมาศเลยครับ
งดงามฝีมือดีมากๆครับ ขอบคุณที่แบ่งปันภาพครับ
ขอบคุณ คุณ osuph