ไปเที่ยว Italy กันครับ ตอนที่4

งานยุ่งเลยหายไปหลายวัน มาต่อกันเลยดีกว่าครับ เริ่มที่ร้านอาหารที่เราไปทานมื้อเที่ยงในเมืองปอมเปอี

ที่เห็นแล้วน่าสนใจเป็นพิเศษน่าจะเป็นต้นลาเวนเดอร์ที่ใหญ่มาก ที่เห็นปกคลุมหลังคาไปทั่วบริเวณร้านมาจากต้นเดียวที่เห็นในภาพนี้ครับ ตอนเดินเข้าออกกลิ่นหอมมาก

ต่อด้วยภาพเมืองปอมเปอี ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกลาวาไหลท่วมเมืองภายในเวลาช่วงข้ามคืน จากการระเบิดของภูเขาไฟวิซุเวียส

สภาพในตัวเมืองยังดูสมบูรณ์ดี ทั้งๆที่ถูกฝังมาเกือบ 2000 ปี

น่าเศร้าที่ทุกคนในเมืองเสียชีวิตทั้งหมด

เชื่อกันว่ายังมีอีกหลายเมืองที่ถูกฝังในลักษณะใกล้เคียงกัน แต่คงจะไม่มีการขุดค้นที่อื่นเพิ่มแล้ว

อันนี้เป็นภาพเตียงในสถานเริงรมณ์ ตามถนนมีสัญลักษณ์เพศชายชี้ทางมาที่นี่ด้วย

ไกด์ท้องถิ่นบอกว่าภาพบนผนังบอกว่าห้องนี้ใช้ทำอะไร มีเยอะมากจนมีหนังสือรวมภาพขาย

ต้นตอที่ทำให้เมืองนี้ถูกฝังก็อยู่ไกลๆในภาพนี้เลย

ดูหน้าตาผู้ร้ายชัดๆอีกรูปครับ เมืองปอมเปอีมีชื่อเสียงเรื่องการปลูกเลมอน มีการนำมาทำเป็นเหล้าด้วย

เลมอนของเค้าผลใหญ่มาก น่าจะประมาณส้มโอเห็นจะได้ ลองเทียบกับหน้านายแบบดูครับ มาถึงที่แล้วก็ต้องลองดื่มน้ำเลมอนปั่นของเค้าดู มีทั้งแบบเพียวๆ หรือแบบผสมน้ำส้ม ไม่ว่าแบบไหนก็เปรี้ยวได้ใจ

จากนั้นเราก็เดินทางต่อมายังเมืองนาโปลี เพื่อรอข้ามเรือไปพักที่เกาะคาปรี ที่เห็นในภาพน่าจะเป็นปราสาท Castilo Napolio ที่เห็นเป็นทรงกระบอกสีเหลืองอยู่ติดกับตัวประสาทคือคุก

ท่าเรือที่เราต้องต่อเรือไปเกาะคาปรี ตอนเข้าก็จะมีประตูรั้วสูงๆ กั้น ความรู้สึกประมาณรอเขตชายแดนเปิดเหมือนที่เคยดูในหนังเลย

เนื่องจากเรือดีเลย์ 1 ชั่งโมง เลยมีเวลาเดินเก็บภาพ นี่ก็อีกมุมของภูเขาไฟวิซุเวียส ดูแล้วน่าเป็นห่วงชาวบ้านที่อยู่ตีนเขา ขนาดปอมเปอีที่อยู่ห่างกว่ายังโดนฝัง

นาโปลีเป็นเมืองท่าที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอิตาลี แต่เป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่เพราะอาชญากรรมเยอะ

ลานาโปลีด้วยภาพนี้ครับ

นั่งเรือมาประมาณ 1 ชั่วโมงเราก็มาถึงเกาะคาปรี

ระหว่างทางนั่งรถมินิบัสขึ้นเขาเพื่อไปร้านอาหาร

ทานเสร็จก็ค่ำพอดี หลังจากลากกระเป๋าเดินยาวเป็นกิโลมาถึงที่พัก (รถเข้าไม่ถึงครับ) ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ยังออกมาเดินถ่ายรูปเล่น

โรงแรมมี Wifi ให้ใช้ฟรีเด็กๆเลยนั่งเล่น ipad กัน เราก็เลยออกมาคนเดียว

สภาพในเมืองสวยดีครับ อากาศเย็นสบาย

เดินไปเดินมา ก็มาเจอพี่ๆที่ไปด้วยกันครับ

ภาพนี้ชอบเป็นการส่วนตัวครับ ตอนถ่ายก็ว่าเล็งดีแล้วนะ กลับมาดูภาพเอียงไปหน่อย เลยต้องปรับเอา

ตัวเมืองที่นี่มีบรรยากาศน่ารัก มีมุมให้เก็บภาพเยอะมาก

อีกสักภาพ

บริเวณจัตุรัสกลางเมือง

ต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยดอกไม้ครับ

มาดูวิวช่วงเช้ากันบ้าง

มาทะเลก็ต้องมีนกนางนวล

จากนั้นก็มาแวะที่สวนออกุสต้า เพื่อถ่ายรูปโขดหิน Faraglioni ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเกาะคาปรี (จ่ายค่าเข้าคนละ 1 ยูโร)

มุมอื่นๆในสวนออกุสต้าครับ

พอช่วงสายๆเราก็ต้องลงเรืออีกครั้งเพื่อไปเที่ยวถ้ำบรูกร๊อตโต้ เลยเก็บภาพจากในเรือครับ

พอมาถึงก็ต้องมาต่อเรือเล็ก นั่งได้ลำละไม่เกิน 4 คน ทางเข้าถ้ำเล็กมาก ถ้าวันไหนน้ำขึ้นสูงก็เข้าไม่ได้ การเข้าถ้ำคนคุมเรือจะต้องรอจังหวะการกระเพื่อมของคลื่นด้วย

น้ำภายในถ้ำจะเป็นสีฟ้าเรืองแสง เกิดจากการสะท้อนสีฟ้าจากแสงแดดภายนอก

พายเรือวนในถ้ำประมาณ ไม่ถึง 10 นาที ก็มาคอยคิวออกจากถ้ำ ลักษณะน่าจะคล้ายๆกับถ้ำมรกตของบ้านเรา ต่างกันที่บ้านเราอากาศร้อนมาก แต่ที่นี่อากาศเย็นสบาย

ลาเกาะคาปรีด้วยภาพนกครับ

จากนั้นเราก็นั่งเรือใหญ่มาขึ้นฝั่งที่เมืองซอร์เรนโต้ เป็นเมืองตากอากาศที่บรรยากาศดี แต่ใช้เวลาแค่สั้นๆ เพียงเพื่อต่อรถไปยังกรุงโรม

ลากันด้วยภาพนี้ครับ ตอนหน้าไปเที่ยว วาติกัน กับโรมกันครับ

หลากหลายสถานที่สวยงาม ตามชมมาทั้งสี่ตอน ขอบคุณมากครับที่เก็บภาพมาให้ชม

ตามมาชมครับพี่ ขอบคุณที่พาเที่ยวครับ เป็นประสบการณ์ชีวิตจริงๆ

ชอบคุณที่พาเที่ยวคับ เหมือนไปด้วยเลย รายละเอียดครบ ภ่าพงาม
ที่สำคัญ รู้ที่เที่ยวเยอะมากอ่ะคับ อยากไปๆ

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาทักทายกันครับ

ขอบคุณ ครับ

ชอบดูทริปนี้มากครับ

วิวสวย บรรยากาศดีมากครับ ตากล้องมุมมองสวยงามครับผม